แฮ็นดริก โยฮันเนิส ไกรฟฟ์ (ดัตช์: Hendrik Johannes Cruijff; 25 เมษายน พ.ศ. 2490 – 24 มีนาคม พ.ศ. 2559) เป็นอดีตนักฟุตบอลทีมชาติเนเธอร์แลนด์ผู้ได้ชื่อว่าเป็นตำนานแห่งทีมชาติเนเธอร์แลนด์ เจ้าของฉายา "นักเตะเทวดา" หรือ "ผู้สง่างาม" (De Majestueuze) ในภาษาดัตช์
โยฮัน ไกรฟฟ์ มีชื่อเต็มว่า แฮ็นดริก โยฮันเนิส ไกรฟฟ์ (Hendrik Johannes Cruijff) เกิดเมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1947 ที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในครอบครัวฐานะปานกลาง ไกรฟฟ์เริ่มเล่นฟุตบอลข้างถนนในวัยเยาว์เหมือนเด็กคนอื่น ๆ ทั่วไป จากนั้นได้มีแมวมองจากสโมสรอาเอฟเซ อายักซ์ เข้ามาเห็นแวว ในที่สุดไกรฟฟ์ก็ทำสัญญาเข้าร่วมทีมเยาวชนของอายักซ์ สโมสรฟุตบอลใหญ่ของเนเธอร์แลนด์
ไกรฟฟ์ได้ขึ้นมาเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ด้วยวัยเพียงแค่ 17 ปีเท่านั้น โดยยิงได้เพียงแค่ลูกเดียวตลอดฤดูกาลนั้น แต่ในฤดูกาลถัดมา ไกรฟฟ์ก็ได้ขึ้นมาเล่นเป็นตัวจริงของอายักซ์อย่างเต็มตัว ก่อนที่จะแสดงความสามารถพาอายักซ์คว้าแชมป์เอเรอดีวีซีได้แบบไร้คู่ต่อกร โดยไกรฟฟ์ยิงไปทั้งสิ้น 25 ประตู จากการลงเล่น 23 นัด คว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของเนเธอร์แลนด์ได้อีกหนึ่งรางวัลด้วยวัยเพียงแค่ 18 ปี
หลังจากนั้น ไกรฟฟ์ก็กลายมาเป็นนักฟุตบอลอันดับหนึ่งของวงการฟุตบอลเนเธอร์แลนด์ทันที และถูกเรียกตัวติดทีมชาติ แต่ว่าช่วงเวลาในทีมชาติช่วงแรกของไกรฟฟ์นั้นไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าใดนัก โดยเพียงแค่ในเกมที่สองในนามทีมชาติ ในนัดที่พบกับเชโกสโลวาเกีย ไกรฟฟ์โดนใบแดงไล่ออกจากสนาม และยังถูกราชสมาคมฟุตบอลเนเธอร์แลนด์ห้ามลงแข่งไปหนึ่งปีอีกต่างหากจากพฤติกรรมไม่เหมาะสม ทำให้ไกรฟฟ์ตั้งตัวเป็นศัตรูสมาคมทันที ทั้งที่มีอายุเพียงแค่ 19 ปี ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกอยู่เหมือนกันที่นักฟุตบอลวัยเยาว์เช่นนี้กล้าเป็นศัตรูกับสมาคมฟุตบอลของประเทศ
แม้ว่าจะมีปัญหาระหองระแหงกับสมาคมฟุตบอลของประเทศ แต่ว่ากับระดับทีมอายักซ์ ไกรฟฟ์ก็ยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมอยู่ดี ตำแหน่งแชมป์ลีกในประเทศมักจะได้มาเป็นประจำ จนทำให้แฟนฟุตบอลของอายักซ์ เริ่มมองถึงเป้าหมายการเป็นแชมป์ยุโรปแล้ว
ในปี ค.ศ. 1969 ไกรฟฟ์พาอายักซ์ทะลุเข้าไปชิงชนะเลิศกับเอ.ซี. มิลาน แห่งอิตาลี แต่ทว่าท้ายที่สุดกลับเป็นมิลานที่ได้แชมป์ไปครองในที่สุด
แต่ด้วยฟอร์มการเล่นที่ร้อนแรงของไกรฟฟ์ ทำให้มีเสียงเรียกร้องจากแฟนบอลให้เรียกตัวเขากลับมาเล่นให้กับทีมชาติอีกครั้ง และในที่สุดไกรฟฟ์ก็ได้รับโอกาสให้ติดทีมชาติอีกครั้ง
เมื่อได้โอกาส ไกรฟฟ์ก็สามารถยกระดับการเล่นของเนเธอร์แลนด์จากที่เคยเป็นแค่ทีมระดับไม้ประดับของยุโรปกลายมาเป็นทีมระดับแถวหน้าของทวีป ส่วนผลงานกับทีมอายักซ์ ไกรฟฟ์ก็สามารถพาอายักซ์ชนะเลิศยูโรเปียนคัพซึ่งเป็นความปรารถนาของแฟนฟุตบอลได้สำเร็จ หลังจากที่ได้เพื่อนร่วมทีมระดับคุณภาพอย่างโยฮัน เนสเกินส์ และรืด โกรล ในรูปแบบการเล่นที่เรียกว่า "โททัลฟุตบอล" (Total Football) อันเลื่องลือ ภายใต้การทำทีมของผู้จัดการอย่างรีนึส มีเคิลส์ เจ้าของฉายา "ท่านนายพล" ซึ่งก็ทำให้อายักซ์กลายเป็นยอดทีมฟุตบอลทีมหนึ่งของยุโรป ก่อนที่จะชนะปานาธีไนโกสจากกรีซได้แชมป์ยูโรเปียนคัพเมื่อปี ค.ศ. 1971 ได้สำเร็จในที่สุด
นอกจากนี้แล้วการคว้าแชมป์ดังกล่าว ทำให้ไกรฟฟ์ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปหรือบาลงดอร์ (Ballon d'Or) ไปครองอีกหนึ่งตำแหน่งด้วย นับเป็นนักฟุตบอลชาวดัตช์รายแรกที่ได้สัมผัสกับรางวัลนี้ หลังจากนั้นเขาก็พาอายักซ์คว้าแชมป์ยุโรปได้อีกสองสมัยซ้อน ซึ่งเป็นทีมแรกนับจากเรอัลมาดริดที่คว้าแชมป์รายการนี้ได้สามปีติดต่อกัน
จากความสำเร็จดังนี้ ไกรฟฟ์ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมบาร์เซโลนาแห่งสเปน ที่มีรีนึส มีเคิลส์ ผู้จัดการทีมคู่บารมีของเขาคุมทีมอยู่ โดยพาเอาโยฮัน เนสเกินส์ คู่หูตลอดกาลของเขามาด้วย และไกรฟฟ์ก็ไม่ทำให้แฟนของบาร์เซโลนาผิดหวัง เมื่อเขาพาทีมล้มเรอัลมาดริดและคว้าแชมป์ลาลีกาประจำปี ค.ศ. 1974 ได้อย่างยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะนัดที่อยู่ในความทรงจำ คือนัดที่ไกรฟฟ์และนักฟุตบอลคนอื่น ๆ ของบาร์เซโลนาสามารถบุกไปเอาชนะเรอัลมาดริด คู่ปรับตลอดกาล ถึงถิ่นด้วยประตูถล่มทลายถึง 5-0 ด้วยกัน
จากนั้นเป้าหมายของไกรฟฟ์ก็คือ การพาเนเธอร์แลนด์คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในฟุตบอลโลก ปี ค.ศ. 1974 ที่เยอรมนีตะวันตก ซึ่งเนเธอร์แลนด์ (นำโดยรีนึส มีเคิลส์, โยฮัน ไกรฟฟ์ และบรรดานักฟุตบอลของอาเอฟเซ อายักซ์) เป็นเต็งหนึ่งของการแข่งขันครั้งนี้ และก็มีทีท่าว่าจะเป็นได้จริงเมื่อเนเธอร์แลนด์เอาชนะได้ทั้งบราซิลแชมป์เก่าเมื่อคราวที่แล้ว และอาร์เจนตินา เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศกับเจ้าภาพเยอรมนีตะวันตกได้สำเร็จ ทว่าท้ายที่สุดกลับเป็นเยอรมนีตะวันตกที่ได้แชมป์ไปครองในที่สุด เมื่อสามารถพลิกเอาชนะไปได้ 2-1 จากการทำประตูของเพาล์ ไบรท์เนอร์ และแกร์ท มึลเลอร์ ทั้งที่เนเธอร์แลนด์เป็นฝ่ายทำประตูนำไปก่อนด้วยจากลูกยิงของโยฮัน เนสเกินส์
ต่อมาไกรฟฟ์ก็ยังคงเล่นให้กับทีมชาติในรอบคัดเลือก แต่ว่าเขากลับตัดสินใจที่จะไม่ไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่อาร์เจนตินา โดยให้เหตุผลว่า รับไม่ได้กับความเป็นเผด็จการของประเทศอาร์เจนตินา ซึ่งในครั้งนั้นเนเธอร์แลนด์ก็เป็นคู่ชิงชนะเลิศกับอาร์เจนตินาเจ้าภาพ และก็เป็นฝ่ายแพ้ไปอีกเหมือนเมื่อ 4 ปีก่อน
หลังจากนั้นไกรฟฟ์ก็ประกาศเลิกเล่นให้กับทีมชาติแบบถาวร ก่อนที่จะย้ายไปเล่นที่สหรัฐอเมริกากับลอสแอนเจลิสแอซเทกส์ ซึ่งในช่วงนั้นฟุตบอลลีกของสหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในช่วงที่ได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากมีนักฟุตบอลระดับโลกหลายรายไม่ว่าจะเป็นฟรันซ์ เบคเคนเบาเออร์ หรือเปเล่ เล่นอยู่ แต่ทว่าไกรฟฟ์ก็อยู่กับลีกนี้ได้ไม่นาน โดยในปี ค.ศ. 1981 เขากลับมาเล่นในสเปนอีกครั้งกับเลบันเต
และในปีถัดไกรฟฟ์ก็กลับมาเล่นให้กับทีมที่เขาเริ่มต้นอย่างอายักซ์ ซึ่งแม้ว่าวัยของเขาจะล่วงเลยมาถึง 34 ปี และเรี่ยวแรงจะไม่เหมือนเดิมแล้วก็ตาม แต่ว่าด้วยสไตล์การเล่นที่ปราดเปรียว ทำให้ไกรฟฟ์สามารถลงเล่นกับนักฟุตบอลรุ่นน้องได้อย่างสบาย ๆ เขานำทีมอายักซ์คว้าแชมป์ลีกได้อีกสองสมัย ก่อนที่จะย้ายไปร่วมทีมไฟเยอโนร์ดคู่ปรับร่วมลีก และเขาก็ตอกย้ำความเป็นผู้ชนะด้วยการคว้าแชมป์ลีกกับไฟเยอโนร์ดได้อีกต่างหาก ก่อนที่จะประกาศแขวนสตั๊ดไปในวัย 36 ปี
หลังแขวนสตั๊ด ไกรฟฟ์ก็หันไปเป็นผู้จัดการทีม โดยเป็นผู้จัดการทีมอาเอฟเซ อายักซ์, บาร์เซโลนา และฟุตบอลทีมชาติคาเทโลเนีย
ชีวิตส่วนตัว โยฮัน ไกรฟฟ์ แต่งงานกับแดนนี คอสเตอร์ ในปลายปี ค.ศ. 1968 มีลูก ๆ ด้วยกันทั้งหมด 3 คน โดยลูกชายคนสุดท้อง คือ ยอร์ดี ไกรฟฟ์ เคยเป็นผู้เล่นตำแหน่งกองกลางตัวรุกของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดแห่งอังกฤษอยู่ช่วงหนึ่งด้วย